Sunday, June 28, 2015

ลุยเดี่ยวตามฝัน ครูอาสาที่อมก๋อย


ขออนุญาติแนะนำตัวเองก่อนนะคะ เราชื่อเฟรินนะ เขียนว่า เฟ-ริน หรือ เฟิน เลยก็ได้ค่ะ กระทู้จะเป็นเล่าเรื่องราวความประทับใจของการลุยเดี่ยวตามฝันไปเป็นครูอาสาที่อมก๋อย ขอย้ำค่ะว่า ขาไปไปคนเดียว แต่ขากลับ กลับเป็นฝูงค่ะ ได้เพื่อนได้พี่ได้น้องกลับมาเต็มเลยค่ะ

เราเองก็เหมือนหลายๆคนที่มีความฝันอยากไปเป็นครูดอย อยากมากกกกกกกกกกกกกกกกกก แต่พอเรียนจบ ทำงานก็สนุกสนานกับการใช้ชีวิต เอนจอยกับสังคม เที่ยว กิน ทำกิจกรรมต่างๆ จนเราเกือบจะลืม หรือเรียกว่าลืมความฝันของเราไปเลย จนวันนึงเรามีโอกาสไปเจอกระทู้นึงในพันทิปค่ะ เค้าไปเป็นครูอาสาที่อมก๋อยมาแหละ

เห้ยยยยย !! เค้าไปโครงการที่เราติดตามอยู่พอดีเลย เอาว่ะ !! เข้าเว็บโครงการเลยค่ะ รับสมัครครูอาสาไปทาสีโรงเรียนที่ห้วยแห้ง อมก๋อย 30 คน ช่วง 29 พฤษภา - 1 มิถุนา 2558  สมัครเลยค่ะ ไม่ถงไม่ถามใครเลย สมัครก่อนกลัวไม่ได้ไป งานก็ยังไม่ลา เราสมัครช่วงสิ้นเดือนเมษาค่ะ สงกรานต์ก็เที่ยวหนักปาร์ตี้หนักไปนิด เงินทองก็ไม่ค่อยจะมี แต่อยากไปมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก (ก.ไก่สิบล้านตัวเลยค่ะ) อดขนมอดกินจุบจิบเอาก็ได้ว่ะ ค่าสมัครเข้าร่วมโครงการ 1500 บาทนะคะ (1500 บาท จะเป็นค่าเหมารถโฟลวีลเข้า-ออกหมู่บ้าน ค่าอาหาร น้ำดื่ม และค่าอุปกรณ์ในการทาสีโรงเรียนค่ะ)

จากนั้นก็ลางานค่ะ ลางานด้วยสายตามุ่งมั่นจริงจัง "นายคะ สิ้นเดือนจะขึ้นดอยไปเป็นครูอาสา ขอลางานนะคะ จ่ายเงินเรียบร้อยแล้ว" และก็ทำการชวนเพื่อน ชวนเพื่อนตัวเอง เพื่อนของเพื่อน สารพัดเพื่อน สารพัดจะชวน สุดท้ายก็ไม่มีใครไป ไปคนเดียวก็ได้ เฟรินถือคติที่ว่า ความฝันเรา เราก็ควรจะทำด้วยตัวเราเอง ถ้ามัวแต่รอคนอื่นแล้วเมื่อไหร่จะได้ทำ ❤

หลังจากตัดสินใจว่าจะไปคนเดียวเรียบร้อย แต่ก็ยังอยากให้เพื่อนมีส่วนร่วมค่ะ เลยโพสสเตตัสในเฟสบุค เราจะขึ้นไปเป็นครูอาสา มีใครสนใจหรืออยากร่วมบริจาคของไหม เพื่อนๆพี่ๆที่น่ารักก็มีรวบรวมของมาให้ ทั้งสมุด เครื่องเขียน ของเล่น หนังสือ เสื้อผ้า และเงินอีกจำนวนหนึ่ง ซึ่ง ซึ่ง ซึ่ง....เฟรินไปคนเดียวค่ะ บินคนเดียว โหลดของได้ 15 กิโล. และของที่จะนำขึ้นไปเยอะมาก ฯลฯ


28/05/2015 - ถึงเวลาออกเดินทางตามความฝัน
สัมภาระเยอะมาก น้ำหนักเกิน 15 กิโลค่ะ ต้องแบกขึ้นเครื่องพะรุงพะรังมาก กระเป๋าเป้ กระเป๋าสะพายข้าง กระเป๋ากล้อง ถุงใส่สมุด ถุงของเล่น ถุงยาสีฟัน เกรงใจคนที่นั่งข้างๆมากค่ะ เพราะเฟรินนั่งตรงกลาง -0- สัมภาระเยอะมากจนคนที่นั่งข้างๆหันมาถามว่า "ย้ายมาทำงานเชียงใหม่หรอครับ" จากนั้นก็คุยกันยาวเลยค่ะ จนถึงเชียงใหม่ ก็ยังช่วยเราถือของ แบกของ และถามเราอีกรอบว่า "นี่แบกของทั้งหมดมาคนเดียวจริงหรอ"

ลงรูปประกอบว่าของเยอะจริง และแบกไปคนเดียวค่ะ เราอึดถึกและทนมาก 5555555
ช่วยโบกรถแดงให้ แต่ด้วยเหตุขัดข้องทางเทคนิค เค้าเลยต้องนั่งรถแดงมากับเราด้วย ก็เลยได้คุยกันนิดหน่อย ถ้าจำไม่ผิดน่าจะชื่อ กัน ขอบคุณนะคะ ☻ เราลงรูปไว้นะคะ ถ้าใครรู้จักเค้าฝากบอกหน่อยว่าเราขอบคุณมากเลย

ขอบคุณมากนะคะ คุณกัน
เรามาถึงเชียงใหม่ตอน 5 โมงเย็น รถติดค่ะ ไม่ต่างจากกรุงเทพเลย T___________T แพลนเราเยอะมาก จะแวะไปสวนดอก (เราเคยมาฝึกงานที่นี่ค่ะ) ไปไหว้ครูบา ไปดอยสุเทพ กินข้าว นั่งชิล ฯลฯ ถึงแม้ว่าเราจะไปถึงเชียงใหม่ช้า แต่เราก็ทำตามแพลนเราครบนะคะ เย้!! แต่เราจะไม่รีวิวในกระทู้นี้ ☻  


การเดินทาง

การเดินทางไปอมก๋อยจากตัวเมืองเชียงใหม่มี 2 ทาง คือ ไปรถตู้ กับ รถเมล์ รถตู้จะมีเพียง 3 คันต่อวัน แต่รถออกเช้ามาก 05.00 05.05 05.10 มีแค่เท่านี้ค่ะ ใช้ระยะเวลาเดินทางประมาณ 3 ชั่วโมง ส่วนรถเมล์จะมี 2 รอบ รอบเช้ากับบ่าย  รถเมล์หวานเย็นมากขับกินลมชมวิว *มีเพื่อนที่ไปค่ายเดียวกันที่เดินทางไปอมก๋อยก่อนบอก ขึ้นรถตอนบ่ายโมงครึ่งถึงอมก๋อยหกโมงกว่าเกือบทุ่ม OMG! หกชั่วโมงกว่าาาาาาาา

เราพักโฮสเทลค่ะ คุยกับพี่ที่โฮสเทล บังเอิญอีกแล้วค่ะ พี่เค้าเป็นคนอมก๋อย เค้าแนะนำว่าไปรถตู้ดีกว่า เดี๋ยวพี่จองรถให้ ทั้งรถมารับที่โฮสเทล ละก็รถตู้ ใจดีอีกแล้ว เชียงใหม่มีแต่คนใจดี หลงรักเชียงใหม่อยู่แล้ว หลงรักมากขึ้นไปอีก ツツ

เราไม่มีรูปรีวิวรถตู้นะคะ เพราะขึ้นรถแล้วหลับอย่างเดียวเลยค่ะ หลับๆตื่นๆ ตื่นมาดูวิวข้างทาง โอ้โห โคตรสวยเลย *ขออนุญาติใช้คำว่าโคตร คือสวยมากสวยจริงๆ เหมือนวังเวียงเลยแหละยู ถ่อไปถึงวังเวียง ทั้งๆที่เมืองไทยก็มีวิวแบบนี้ ฟินมากค่ะ แต่ก็หลับๆตื่นๆต่อจนถึงตัวอมก๋อยค่ะ 55555555555555555

รูปวิวระหว่างทางค่ะ ไม่แต่งรูป สวยธรรมชาติ ❤❤
ศูนย์ ICT อมก๋อย
ตามเวลานัดหมายของโครงการคือ 12.00 ที่ศูนย์ ICT อมก๋อยค่ะ แต่....เราถึงอมก๋อยตั่งแต่แปดโมงนิดๆ 08.xx อีก 4 ชั่วโมงค่ะ รอไปปปปปปปปปป แต่....เราไม่ได้รอคนเดียวค่ะ มีครูอาสาที่มารถตู้คันเดียวกันอีก 3 คน ผู้หญิงล้วนเลยค่ะ ทำความรู้จักกันเรียบร้อย กินข้าว นั่งพัก มีแรง เราก็ลุยกันค่ะ มีเวลาตั้งหลายชั่วโมง ไปไหนดี เปิดแมพ เปิดรีวิว ก็มีแต่ไกลๆทั้งนั้น ด้วยความโชคดีค่ะ เห็นป้ายมีทางไปพระธาตุดอยแก้ว 1.6 กิโลเมตร ตกลงกันว่า 1.6 โลเอง สบาย เดินกันนนนนนนนนนนนนนนนนนนนน


เดินไปเดินมา เริ่มไม่ใช่ล่ะ ผิดทางค่ะ 555555555555555555555555555 แล้วก็มีรถคันนึงขับมาจอดเทียบแล้วเปิดกระจกถามว่าจะไปพระธาตุใช่ไหม เดี๋ยวลุงพาไปเอง คนเจียงใหม่ใจดีอีกแล้ว ❤❤ พวกเราก็ใจง่ายอีกแล้ว ขึ้นรถคุณลุงไปกัน ระหว่างทางคุณลุงก็เล่าให้ฟังว่าพระธาตุกำลังอยู่ในช่วงระดมทุนก่อสร้าง ทางไปพระธาตุคือคนละทางกับที่พวกเราเดินกันเลยค่ะ ไกลกว่า 1.6 กิโลด้วย ทางชันมาก ต้องใช้โฟลวีลอย่างเดียว ดีที่พวกเราไม่เดินกัน ดีมากกว่านั้นคือคุณลุงที่ขับรถพาพวกเราไป ขอบคุณนะคะ

ทางลงจากสถานที่ก่อสร้างพระธาตุ
พึ่งมีการบวงสรวงไปค่ะ
อันนี้เราไม่รู้ว่าต้องเรียกว่าแปลนหรืออะไรนะคะ
จากนั้นคุณลุงก็นำพวกเรากลับมาส่งที่ศูนย์ ICT  ก็ยังไม่มีสมาชิกค่าย เพื่อนร่วมค่ายมาเลยค่ะ พวกเราก็ยังมีกัน 4 หน่อเหมือนเดิม T___T ตกลงกันว่าจะไปเซเว่นเพื่อซื้อของกินขึ้นไปกันค่ะ เพราะเราไม่มั่นใจว่าเราจะทานอาหารของชาวบ้านได้ไหม คือเราจะต้องนอนกับชาวบ้านค่ะ กินอาหารกับชาวบ้าน เหมือนสมาชิกในบ้านคนนึงเลย ที่อมก๋อยมีเซเว่นนะคะ อยู่เยื้องๆกับโรงพยาบาลอมก๋อย สามารถเดินจากศูนย์ ICT ไปได้ค่ะ ตัวอำเภออมก๋อยถือว่ามีความเจริญในระดับหนึ่ง มีสัญญาณอินเตอร์เนต สัญญาณโทรศัพท์ เซเว่น มีรถผ่านบ้างประปราย

จากนั้นเราก็กลับมานั่งรอสมาชิกค่าย แรงเริ่มหมดต้องนั่งพักเซฟพลังงานกันแล้ว สมาชิกเริ่มมีทยอยมากันบ้าง ก็ทำความรู้จักกันไปค่ะ ระหว่างที่เรานั่งกันก็มีกลุ่มอาสากลุ่มนึงได้เดินทางลงมาจากดอยพอดี เป็นกลุ่มอาสากลาง มช. กลุ่มอาสากลุ่มนี้น่ารักมากๆ น้องๆไปทำค่ายกันที่อูแจะซึ่งถัดจากหมู่บ้านที่เราจะไป คุยกับน้องๆอาสาแล้ว อยากกลับไปเรียน อยากไปอาสากับพวกน้องๆเลยค่ะ ใจง่ายอีกแล้วววววววววววววววว. ❤❤ สักพักกลุ่มน้องอาสาก็เดินทางกลับเชียงใหม่  ถ้ามีโอกาสพี่ขอไปค่ายกับพวกน้องนะ พี่ยังไม่แก่ พี่อยากเต๊าะเด็ก555555.

ในระหว่างนี้สมาชิกค่ายเริ่มมากัน ครูต้อมครูเจ้าของโครงการ ก็มาแจกแจงรายละเอียด เล่าเรื่องเกี่ยวกับหมู่บ้านที่เราจะไปกัน ความเชื่อ วัฒนธรรม การปฏิบัติตัว หน้าที่ที่พวกเราต้องทำกัน จากนั้นก็แยกย้ายกันขึ้นรถโฟลวีล


โฉมหน้าสมาชิกผู้ร่วมรถโฟลวีล 7สาวโสดค่ะ นี่คือ 7 คนที่มาถึงอมก๋อยก่อนใครเพื่อน นั่งคุย เม้ามอยเล่นกัน จนสมาชิกค่ายคนอื่นคิดว่ามาด้วยกันเป็นกรุ๊ปใหญ่ ความจริงคือเปล่าค่ะ 7คน ไม่มีใครรู้จักใครมาก่อน ต่างคนต่างมาคนเดียว ย้ำว่าต่างคนต่างมาเดี่ยว  ผู้หญิงอึดถึกทนค่ะ ㋡

ครูต้อมเตรียมโฟลวีลให้ทั้งหมด 4 คันค่ะ คันเราเป็นคันที่สาม ความจริงคือวางแพลนว่าจะนั่งคันแรก 555555. ระหว่างทางเข้าหมู่บ้านค่อนข้างโหดพอตัวเลยค่ะ เห็นว่ารถคันอื่นมาคนอ้วกกัน แต่คันเราไม่มีคนอ้วกเลยค่ะ อึดกันเกินไปอีกแล้ว ระยะทางประมาณ50กิโลเมตรจากตัวอำเภออมก๋อย ถนนช่วงแรกๆก็เป็นคอนกรีต  หลังจากนั้นดินล้วนๆเลยค่ะ เวลาขึ้นเขาก็ชันสุด เวลาลงก็ลงสุดเช่นกัน แทบจะ 90 องศากันเลยทีเดียวค่ะ  แต่แลกกับวิวระหว่างทางที่สวยมาก ถือว่าคุ้มเลยค่ะ คุ้มมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก จนเรามีความคิดแบบเห็นแก่ตัวว่า "ไม่อยากให้ความเจริญมาถึงที่นี่เลย เรากลัวธรรมชาติกลัวความสวยงามแบบนี้จะหายไป"    


ระยะทาง 50 กิโลเมตร ถ้าในกรุงเทพคงใช้ระยะเวลาไม่ถึงชั่วโมงในการเดินทาง แต่สำหรับที่นี่ อมก๋อย 50 กิโลเมตร เราใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 3 ชั่วโมงนิดๆ ระหว่างทาง มีทั้งแดด ฝน ฝุ่น สลับกันไปมา เป็นช่วงเวลาที่น่าจดจำอีกช่วงเวลานึง ทำให้เราได้นึก ทบทวนอะไรหลายๆอย่าง เราเกิดมามีโอกาสในชีวิตที่ดีกว่าคนที่นี่มากแค่ไหน เช่นการเข้าถึงความสะดวกสบาย อาหาร การศึกษาหรือเทคโนโลยีต่างๆมากมาย จนทำให้เราไม่รู้จักคำว่าพอกันหรือเปล่า ทำไมเราไม่ใช้โอกาสที่เรามีให้เกิดประโยชน์สูงสุดแล้วทำให้มันเกิดประโยชน์แก่ผู้อื่น


ถึงแล้วค่าาา 5โมงกว่าๆ บ้านห้วยแห้ง ตำบลสบโขง อำเภออมก๋อย จังหวัดเชียงใหม่
เป็นหมู่บ้านเล็กๆที่อยู่กลางหุบเขา ชาวบ้านเป็นชาวปกาเกอะญอ ไม่มีไฟฟ้า ไม่มีน้ำปะปา
ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ ไม่มีอินเตอร์เนต ไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกใดๆ

เมื่อมาถึงกันครบทุกคน ครูต้อมก็ให้เด็กๆเจ้าบ้านแต่ละหลังที่เราจะไปนอน มาทำความรู้จักและก็พาไปบ้าน ขนสัมภาระ อาหารและน้ำดื่มไปกันค่ะ  อาหารและน้ำดื่มครูต้อมเป็นคนจัดการเตรียมให้เราหมดเลยค่ะ ก็มาจากเงิน 1500 บาทที่เราจ่ายไป จะมีปลากระป๋อง ข้าวสาร ไข่ไก่ เครื่องปรุงรส ผักต่างๆ น้ำดื่ม คร่าวๆประมานนี้ ทำไมถึงต้องขนอาหารน้ำดื่มขึ้นไป ก็เพราะว่าเราไปอาศัยอยู่กับชาวบ้านเลยค่ะ กินนอนกับชาวบ้านเลย อาหารการกินของชาวบ้านที่นี่ส่วนใหญ่จะเป็นผัก นำมาสับๆตำๆใส่เกลือใส่พริกกินกับข้าวกัน เนื้อสัตว์ที่กิน ก็จะเป็นเนื้อหนู เนื้อนก เท่าที่เราคุยกับชาวบ้านแล้วเข้าใจคือชาวบ้านเค้าเลี้ยงหมู เลี้ยงควายไว้บูชาผีฟ้ากัน เนื้อสัตว์ที่กินก็จะเป็นเนื้อสัตว์อย่างอื่นที่พอหาได้ ข้าวที่กินกันก็เป็นข้าวไร่ที่ชาวปลูกกันเอง บางปีก็พอกิน  บางปีก็ไม่พอกิน เพราะไม่มีระบบชลประทาน อาศัยน้ำฝนอย่างเดียว ถ้าปีไหนฝนแล้ง ฝนทิ้งช่วงก็มีข้าวน้อย

ทำไมเราถึงบอกว่าเท่าที่คุยแล้วเข้าใจ ก็เพราะว่าชาวบ้านส่วนใหญ่ที่นี่พูดภาษาของเค้ากัน เด็กๆที่โตหน่อยจะพูดภาษาไทยได้ แต่คนเฒ่าคนแก่พูดไม่ได้เลยค่ะ อย่างบ้านที่เราอยู่ แม่กับพ่อพูดภาษาไทยไม่ได้ คุยกันด้วยภาษามือกับท่าทางอย่างเดียวค่ะ แต่เราก็คุยกันรู้เรื่อง ครูใหญ่ประจำโรงเรียนที่บ้านห้วยแห้งบอกว่า กลุ่มเราเป็นกลุ่มอาสากลุ่มแรกที่ไปนอนที่บ้านชาวบ้านค่ะ ชาวบ้านเลยค่อนข้างเขินอายกัน กลุ่มอาสากลุ่มอื่นที่ไปก่อนหน้าเรา นอนที่โรงเรียนกัน

วันแรกก็ไม่มีอะไรมากค่ะ ขนของกันเสร็จ แยกย้ายกันพักผ่อนตามบ้าน ทำความรู้จักกับเจ้าบ้าน ทำอาหารกินกับเจ้าบ้าน และก็พักผ่อนตามอัธยาศัย ออมแรงเพื่อกิจกรรมวันรุ่งขึ้นค่ะ กำหนดการคร่าวๆของวันนี้ก็เป็นแบบนี้ค่ะ หลังจากกินอาหารกันเรียบร้อย ชาวบ้านที่นี่จะนอนกันเร็ว (ชาวบ้านที่นี่จุดฟืนทำอาหารกัน หุงข้าวแบบเช็ดน้ำ เครื่องปรุงคือเกลือกับพริกเท่านั้นค่ะ) ส่วนพวกเรายังไม่ถึงเวลานอนกันค่ะ เราเห็นมีน้องกลุ่มหนึ่งค่ะ แบกกีต้าร์ คาฮอง หนังสือเพลงมาด้วย และน้องเจ้าของเครื่องดนตรีนอนบ้านเดียวกับเราค่ะ อย่างงี้ต้องมีกิจกรรมรอบกองไฟ    

กิจกรรมรอบกองไฟ เราต้องตามสมาชิกคนอื่นๆ ต้องรวมสมาชิกค่ะ เราก็เลยเดินไปตามเดินชวนอาสาคนอื่น อาศัยเดินไปบ้านที่ใกล้ที่สุด แล้วฝากบอกต่อๆกันเพราะใครอยู่บ้านไหนบ้างเราไม่รู้เลย 55555555555 ด้วยความโชคดีที่น้องเจ้าของเครื่องดนตรีมากัน 5 คนและเพื่อนๆน้องจะเดินมาที่บ้านเราบ่อย กิจกรรมรอบกองไฟเลยกระจายข่าวไปได้รวดเร็วมาก *บ้านที่เราอยู่เป็นบ้านหลังแรกที่เดินเจอเลยค่ะ

เราไปรวมตัวกันที่สนามหน้าโรงเรียน เพราะไม่อยากส่งเสียงดังรบกวนชาวบ้าน แต่เอาจริงก็ดังอยู่ดี 55555 กิจกรรมรอบกองไฟก็ต้องมีกองไฟ แต่เราไม่มีค่ะ เราใช้เทียนพรรษาจุดกันแทน น้องอาสาเป็นคนไปหามาค่ะ อยู่ท่ามกลางคนแปลกหน้าที่ไม่เคยรู้จักกัน มีแสงเทียนให้ความสว่างยามค่ำคืน มีดนตรีประกอบโรแมนติกไปอีกกกกกกกกกกกกกกก. แต่จะดีกว่านี้ถ้าฟ้าเปิด เราอยู่กัน 3 คืน ฟ้าปิดทั้ง 3 คืนเลยค่ะ แบกขาตั้งกล้องขึ้นไปเพื่ออัลไลลลลลลล. ขออนุญาตใช้คำวิบัตินะคะ  สมาชิกที่มารวมวันนี้เป็นผู้หญิงหมดเลยค่ะ เหมือนค่ายโรงเรียนหญิงล้วนเลย เพราะหาบ้านอาสาผู้ชายไม่เจอ ทำความรู้จักกัน ใครเป็นใคร ทำไมถึงมาค่ายนี้ คนที่มาคนเดียว ทำไมถึงมาคนเดียว หนีรักหรืออะไรก็ว่าไป ก่อนที่เราจะมาค่าย เพื่อนหลายคนถามว่า จะปลอดภัยหรอแก ไปคนเดียว ไม่มีสัญญาณ เกิดมีปัญหาติดต่อไม่ได้จะทำไง คนอื่นจะไว้ใจได้หรอ หลายคำถาม แต่เราเชื่อว่าคนที่ตัดสินใจมาค่ายมาในที่ที่ห่างไกลแบบนี้ คนที่มากันต้องมีใจและเป็นคนที่โอเคในระดับหนึ่งอยู่แล้ว ใจที่ดี ใจที่เสียสละ ใจที่อยากทำอะไรให้ผู้อื่น ไม่งั้นจะมากันทำไม อยู่กรุงเทพ หรือไปเที่ยวที่อื่นกันก็ได้ ทำไมต้องเอาตัวเองมาลำบากแบบนี้ พอเราได้ทำความรู้จักกัน คุยกัน เรารู้เลยว่าเราตัดสินใจไม่ผิดที่มาอาสา เราได้เจอคนที่คิดเหมือนกับเรา คนที่มีอุดมการณ์คล้ายๆกัน เรารู้สึกว่าเรามีความสุขมาก เรารู้สึกว่าทุกคนโอเค




30/05/2015 
ทำกิจกรรมวันแรกกัน แบ่งอาสาเป็น 3 กลุ่ม กลุ่มทำอาหารกลางวันให้ครูอาสา เด็กนักเรียนและชาวบ้าน กลุ่มที่สองทำกิจกรรม สอนหนังสือกับเด็กๆ และกลุ่มสุดท้ายคือทาสีอาคารเรียน 2 หลังและห้องน้ำ แน่นอนที่สุดว่าอย่างเราถนัดใช้แรงงานค่ะ ทาสีโรงเรียนคือคำตอบที่ดีที่สุด 5555555555555555.

ดูรูปเพื่อซึบซับบรรยากาศกันดีกว่า

พร้อมลุยแล้วค่ะ ทาสีกันโรงเรียนกัน
กลุ่มที่ทำกิจกรรมกับเด็กๆค่ะ ทำกันกลางแจ้ง รับวิตามินกันแต่เช้าเลย
ปีนบันไดทาสีกัน
ไม่ว่าจะผู้ชายหรือผู้หญิงเราก็สลับกันปีนป่ายทาสีโรงเรียนให้น้องๆกันค่ะ กลัวตกไหม กลัวตกค่ะ แต่เราไว้ใจคนที่จับบันไดให้เรา ฮิ้วววววววววววว.


ทาสีกันไปทาสีกันมา กลุ่มอาสาที่รับหน้าที่ทำอาหารก็เดินมาตาม เที่ยงแล้วกินข้าวกัน เป็นผัดมาม่าใส่ไข่ใส่ผัก เป็นเมนูง่ายๆที่อร่อยมาก ได้เห็นรอยยิ้มของน้องๆ คุณครูบอกว่าปกติน้องๆไม่ค่อยได้กินอะไรแบบนี้ อาหารก็มีใส่ไข่บ้าง แต่ก็ใส่แค่ให้รู้ว่าใส่ไข่เท่านั้น

รอยยิ้ม แววตาของน้อง ทำให้เรารู้ว่าเราตัดสินใจไม่ผิดที่มาที่นี่
โรงอาหารที่นี่เป็นโรงอาหารเล็กๆ พวกเราเลยตัดสินใจออกมานั่งกินข้าวกันด้านนอก เรานั่งกินข้าวกันบนเนินดินที่ค่อนข้างสูง เหมือนภูเขาย่อมๆ มองวิวด้านหน้าที่เป็นทิวเขาสลับกันไปมา ฟินมากกกกกกกกกกก. อิจฉาน้องๆ อิจฉาชาวบ้านที่อยู่ที่นี่จัง ที่ได้อยู่ท่ามกลางธรรมชาติ ความสงบแบบนี้ นอกจากมาม่าผัดเป็นมื้อกลางวันแล้ว เรายังมีขนมหวานอีกด้วย ขอบคุณที่ทำอาหารกลางวันดีๆให้เรากินนะคะ พี่ที่รับหน้าที่ทำอาหารบอกว่า พี่ต้องนั่งจุดไฟ ใช้เตาถ่านทำกับข้าว กว่าน้ำจะเดือด กว่าจะไฟจะร้อน กว่าจะผัดได้ แกะมาม่า ตอกไข่ ผัดไข่ เยอะๆมาก เพราะทำให้ชาวบ้านด้วย แค่ทำอาหารก็เหนื่อยแล้ว ยังทำขนมหวานให้กินอีก เป็นมื้อที่ประทับใจที่สุดในชีวิตอีกมื้อนึงเลยค่ะ ขอบคุณมากมากมากมากมากมากนะคะ

บรรยากาศการทานอาหารของพวกเรา ผู้ชายที่ยกหม้อ 2 คนคือครูต้อมและโจเปาค่ะ

ครูต้อมและโจเปาค่ะ

พักเที่ยงกันเสร็จก็มาทาสีกันต่อ อาคารเรียนเสร็จไปแล้ว 1 หลัง เหลืออีกหลังหนึ่งหลังค่ะ ระหว่างพักก็คุยกับน้องๆกัน น้องๆค่อนข้างขี้อายไม่ค่อยคุยกับเราเลย T-T แต่ถ้าหยิบกล้องปุ๊บ น้องๆพร้อมยิ้มกันเลยค่ะ น้องผู้ชายบางคนก็เก็กหล่อรอเลย เก่งมากเด็กๆ

มีบางคนเขินกล้องด้วย
แยกย้ายกันทำหน้าที่ของตัวเองต่อ บางคนก็สลับไปสอนไปเล่นกับน้องๆ บางคนก็สลับมาทาสี
บางคนก็ไปเล่นฟุตบอลกับน้องๆ แอบอู้หรือเปล่าเนี่ย 55555555555



แอบซูมกันนิดนึง หน้าตาจริงจังกันทุกคนเลย
ช่วงบ่ายๆอาคารเรียนและห้องน้ำครูก็ทาสีกันเสร็จเรียบร้อย แต่พลังงานของเหล่าอาสายังไม่หมดกันค่ะ ครูอร คุณครูประจำโรงเรียน ผู้ทำหน้าที่ตั่งแต่ผู้อำนวยการยันภารโรง นับถือใจครูอรมากจริงๆ ครูอรเป็นผู้หญิงตัวเล็กๆ ตัวเล็กมากจริงๆ อยู่ที่โรงเรียนนี้มา 3 ปีแล้วค่ะ เสนอว่าให้เด็กๆพาไปน้ำตกค่ะ เหล่าอาสาก็ เฮ !! ป่ะ ไปเที่ยวน้ำตกกัน ไปเล่นน้ำกัน จะไปเปลี่ยนกางเกงขาสั้นกันแล้ว แต่ครูอรเบรคไว้ทัน ครูอรบอกช่วงนี้น้ำน้อย น้ำมีแค่นิดเดียว ไม่งั้นได้เปลี่ยนกางเกงกันเก้อแน่ๆ

สภาพทุกคนก่อนไปน้ำตกค่ะ ทุกคนดูร่าเริง ชุ้กกะดิ๊ก
ทางเดินไปน้ำตก เด็กๆเป็นคนพาเดินไป มีครูต้อมกับโจเปาไปด้วย หนทางตอนแรกก็ราบเรียบดี เดินลัดเลาะบ้านชาวบ้าน เดินไปเดินมา ทางเดินเริ่มแคบ รอยเท้าคนเดินยังไม่ชัดเจน ธรรมชาติมากมาก ต้องเดินลอดต้นไม้ ไต่ลง เกาะต้นไม้ไปมา แอดแวนเจอร์มาก ชอบบบบบบบบบบบบบบบบบบบ เดินสักพัก เริ่มได้ยินเสียงน้ำตกแล้ว ทางเดินก็เริ่มเดินลำบาก เราเป็นคนที่ค่อนข้างเยอะค่ะ เอากล้องไป 2 ตัว แทบอยากจะเขวี้ยงกล้องทิ้งเลยค่ะ แค่เดินให้ไม่ล้มก็ยากแล้ว เสร่อแบกกล้องไปอีกค่ะ 5555555555555

ยิ่งใกล้ถึงน้ำตกยิ่งเดินลำบาก บางช่วงต้องนั่งแล้วค่อยๆขยับตัวเองลง แต่เด็กๆเดินกันชิวมากค่ะ เหมือนเดินบนรันเวย์ ทางเดินที่พีคที่สุดคือตอนใกล้ถึงน้ำตกค่ะ ทางที่ค่อนข้างชันและลื่น เป็นดินและฝนเพิ่งตก เป็นเหมือนจุดสิ้นสุดทางเดินต้องปีนลงมาแล้วค่อยๆเดิน แต่เรานั่งแล้วไถลตัวเองลง ความจริงคือลื่นลงค่ะ เหมือนเล่นสไลเดอร์ท่ามกลางธรรมชาติ และเสียงเชียร์จากอาสาคนอื่นที่ถึงน้ำตกแล้ว พอเราถึงน้ำตกเราก็เชียร์คนอื่นต่อ ไถลตัวลงมาแทบทุกคน


ถึงแล้ว น้ำตกที่เราหวังจะมาเล่นน้ำกัน คือมีน้ำไหลลงมาแค่เส้นเล็กๆ เรียกง่ายๆว่าไม่มีน้ำเลย 5555555555555555555. ครูอรบอกว่าฝนพึ่งมาตกก่อนหน้าวันที่พวกเราจะมาไม่กี่วันเอง น้ำตกเลยไม่มีน้ำ ถือว่าพวกเราโชคดี เพราะน้ำที่ใช้กันตามบ้าน เป็นน้ำที่มาจากห้วย ถ้าฝนไม่ตก ห้วยไม่มีน้ำ พวกเราก็จะไม่มีน้ำใช้กัน ดูรูปน้ำตกกันค่ะ เราถ่ายจากทางเดินมุมด้านบน ขากลับเรามีเทคนิคแล้วค่ะ ถอดรองเท้าเดิน ยึดเกาะได้ดีกว่าเยอะ


ตอนกลางคืนก็นัดประชุมสรุปกิจกรรมที่ทำวันนี้และนัดหมายสำหรับกิจกรรมวันพรุ่งนี้ จากนั้นก็กิจกรรมรอบกองไฟกันเหมือนเดิม แต่คืนนี้เรามีเพื่อนๆอาสาผู้ชายมาร่วมด้วย ถึงเวลานัดหมายทุกคนมารวมตัวที่สนามหน้าโรงเรียน เป็นสนามเอนกประสงค์ที่ใช้งานคุ้มค่ามาก คืนนี้เรามีกองไฟ ก่อกองไฟ นั่งเล่นดนตรีกัน คุยกัน สรวลเฮฮา แปปเดียวเท่านั้นค่ะโครมมมมมมมมมมมมมมม!! ฝนตกค่ะ เก็บของย้ายเข้าไปนั่งในอาคารเรียนแทบไม่ทันเลย สุดท้ายกิจกรรมรอบกองไฟของเรา ก็เป็นกิจกรรมรอบเทียนพรรษาเหมือนคืนแรก




31/05/2015
วันที่สามที่อยู่ที่บ้านห้วยแห้ง วันนี้เราจะไปไหว้พระธาตุหนองสระ
ห่างจากหมู่บ้านประมาณ 4-5 กิโล แต่เราว่าน่าจะเป็นกิโลแม้วมากกว่ากิโลเมตร เราจะเดินขึ้นเขากันค่ะ ขึ้นกันอย่างเดียวเลย มีทางแยกไม่ต้องไม่แยก เดินตามทางหลัก มุ่งหน้าตรงอย่างเดียว เอ้า ขึ้นแล้วก็ลง ขึ้นแล้วก็ลง ทางเดินเป็นทางเลาะเขา อย่าถามว่าเดินขึ้นเขาลงเขากี่ลูก นับไม่ถ้วน เขาบางลูกก็ชันเหลือเกิน ทางขึ้นแทบจะ 90 องศา ไม่อยากจะนึกสภาพตอนลง -0- ตลอดทางเดินก็จะมีน้องทากเป็นระยะๆ สกิล การหลบหลีกกระโดดหนีทากได้อัพเลเวลขึ้นอย่างชัดเจน

มีน้องอาสาคนนึง ทากน้อยเข้าไปในกางเกงตอนไหนไม่รู้ น้องมารู้ตัวตอนทากจะถึงจุดแลนด์มาร์คแล้ว 555555555. นอกจากน้องทาก สภาพอากาศก็ครบเลยเดี๋ยวฝนเดี๋ยวหมอกเดี๋ยวแดดสลับไปมา เพราะเราไปช่วงต้นฤดูฝนด้วย ใช้ระยะเวลาเดินเท้าประมาณ 3 ชั่วโมงกว่าๆก็มาถึงพระธาตุ พระธาตุหนองสระเป็นวัดสายปฏิบัติค่ะ เป็นวัดที่ชาวบ้านนับถือกัน ชาวบ้านที่อยู่ในระแวกนี้จะมาทำบุญที่พระธาตุกันทุกวันพระ ชาวบ้านก็จะเดินเท้ากันมาทำบุญ ชาวบ้านจะเดินเท้ากันขั้นต่ำ 2 ชั่วโมง แล้วยังนำของขึ้นมาทำบุญกันอีก เรานับถือใจและแรงศรัทธาของชาวบ้านมาก

พระพุทธรูป
พระธาตุหนองสระ *เราจิ๊กรูปมาจากอาสาที่ไปด้วยกันนะคะ
อาหารกลางวัน พวกเราต้องนำขึ้นมากันเอง และทางวัดมีกฏข้อห้ามทานเนื้อสัตว์ภายในวัด
พวกเราเลยต้องออกมานั่งกินด้านนอกวัด อาหารกลางวันของบ้านเรา แม่และพี่อาสาอีกคนเป็นคนเตรียมให้ เพราะพวกเราตื่นสายกัน พวกหนูขอโทษจริงๆ และขอบคุณมากๆนะคะ มื้อนี้เป็นมื้อที่อร่อยที่สุด อร่อยกว่ากินร้านอาหารดีๆแพงๆ เป็นมื้อที่ประทับใจมาก ❤❤ กับข้าวง่ายๆ กินกับคนที่มีใจเหมือนกัน นั่งกินรวมกัน บ้านเธอมีอันนี้ บ้านฉันมีอันนั้น แชร์กัน แบ่งกัน

มื้อกลางวันทานกันนอกบริเวณวัดค่ะ
อันนี้น่าจะเป็นโรงครัวของวัดค่ะ มีก่อกองไฟด้วย อากาศด้านบนค่อนข้างหนาว
ฟ้าเปิดแล้ว บรรยากาศดีมากๆ มองเห็นประเทศพม่าด้วย
ถึงเวลาเดินกลับหมู่บ้านกันแล้วค่ะ ขามาเป็นทางขึ้นชันอย่างเดียว ขากลับก็เป็นทางลงชันอย่างชันเลยค่ะ ทางลงภูกระดึงที่ว่าชันแล้วต้องมาเจอที่นี่ค่ะ ภูกระดึงเด็กไปเลย ถ้าวิ่งต้องวิ่งลงอย่างเดียว หยุดไม่ได้ ไม่มีที่ให้หยุด นอกจากล้มอย่างเดียว ขาลงพวกเราก็เล่นเกมส์กันค่ะ เกมส์เก็บแต้ม ใครล้มเยอะสุดได้แต้มเยอะสุด สลับกันล้มสลับกันลื่นไป ขอเม้าท์นิดนึงค่ะ มีพี่อาสาคนหนึ่งเดินน้ำหน้าเฟรินเอง พี่แกบอกว่า ยังไม่ถึงตาพี่ล้มหรอก เท่านั้นแหละค่า พี่แกล้มเลยค่ะ แต่ล้มลงด้านข้างไม่สามารถจับแกได้ทันจริงๆ ต้นไม้ราบเป็นหน้ากองเลยค่ะ พี่คนนี้เลยมีฉายากลับบ้านไปเลย เป็นพี่____ป่าราบ

เดินๆเล่นๆกันจนจะถึงหมู่บ้าน ตะลึงค่ะ สวยมาก สวยมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก นี่เมืองไทยจริงหรอ แบบว่า โคตรสวย โคตรธรรมชาติ โคตรใช่เลยยยยยยยยยยยยยยยยย



อีกด้านหนึ่งค่ะ
ในรูปอาจจะดูไม่สวยเท่าไหร่ แต่ของจริงสวยมากๆ สวยจนเราไม่อยากละสายตาเลย ไม่อยากจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูป ไม่อยากมองผ่านเลนส์


เพราะโลกนี้มันกว้าง คนที่อยู่ข้างๆจึงสำคัญทุกการเดินทางปลายทางคือจุดหมายสำคัญ แต่ระหว่างทางก็มีเรื่องราวที่น่าประทับใจเช่นกัน ดั่งเช่นคนพวกนี้ที่คอยซ้ำเติมเวลาเราล้ม คอยแกล้งกันตลอดเวลา แต่ก็ไม่เคยปล่อยให้เรารู้สึกว่าเราอยู่คนเดียว ขอบคุณค่ายอาสาค่ายนี้ที่เหวี่ยงคนบ้ามาเจอกัน ☻☻☻


คืนนี้เรามีสรุปกิจกรรมที่ทำวันนี้กันเหมือนเดิม แต่คืนนี้พิเศษกว่าทุกคืน เพราะเป็นคืนสุดท้าย ทุกคนพูดความในใจ ความรู้สึกที่มีต่อค่ายนี้กัน สำหรับเรา เราประทับใจมาก เรารู้สึกว่าเรามาเป็นผู้รับมากกว่าเป็นผู้ให้ รับความรู้สึกดีๆ รับความจริงใจ รับมิตรภาพใหม่จากคนที่ไม่เคยรู้จักกัน ❤

หลังจากเปิดใจกันเรียบร้อยเราก็กิจกรรมรอบกองไฟกันเหมือนเดิมค่ะ แต่คืนนี้พิเศษกว่าทุกคืน เพราะเรามีของดี ชาวบ้านเอามาให้ 55555555 *สำหรับเยาวชนที่ต่ำกว่า18เราไม่แนะนำนะคะ นั่งเล่นนั่งคุยกันยันตีหนึ่งตีสองเลยค่ะ ไม่อยากให้ผ่านคืนนี้ไปเลย แต่ความจริงก็คือความจริง.


01/06/2015
วันสุดท้ายที่เราอยู่ที่นี่กัน เช้าวันนี้เราขอให้แม่กับพ่อและน้องทานข้าวพร้อมกันกับพวกเรา เพราะชาวบ้านที่นี่จะให้แขกกินข้าวก่อน พอแขกกินเสร็จ เจ้าบ้านถึงจะกินกัน แต่มื้อนี้เป็นมื้อสุดท้ายเลยขอให้กินด้วยกัน จากนั้นก็เก็บของไปรวมกันที่โรงเรียน ถ่ายรูปร่วมกัน ถึงเวลาต้องกลับสู่ความจริงแล้ว



หลังจากถ่ายรูปกันเสร็จ ก็แยกย้ายกันไปลาเจ้าบ้านที่เราอาศัยอยู่ด้วย


จากนั้นก็เดินทางออกจากหมู่บ้านกัน ตลอดการเดินทางออกจากหมู่บ้าน เส้นทางเดิม การเดินทางเหมือนเดิม เราเชื่อว่าความรู้สึกของทุกคนที่มาค่ายนี้ไม่เหมือนเดิม ❤ เราเชื่อว่าถ้ามีโอกาส ทุกคนอยากจะกลับไปที่บ้านห้วยแห้งอีกครั้ง เราเชื่อว่าทุกคนได้ทิ้งใจไว้ที่บ้านห้วยแห้ง ถึงแม้ค่ายอาสาจะจบไปแล้ว แต่มิตรภาพ ความประทับใจของพวกเรายังไม่จบ อยู่ที่เราจะรักษามันไว้อย่างไร Keep in touch นะทุกคน ❤❤❤❤❤  

และหลังจากที่พวกเราได้กลับจากค่ายอาสากัน พวกเราได้เห็นถึงปัญหาในด้านๆต่างที่อมก๋อย ทั้งเรื่องอาหารกลางวันของเด็กนักเรียน สาธารณูปโภค ยารักษาโรค และอื่นๆอีกมากมาย พวกเราก็ได้ทำกิจกรรมระดมทุนกัน เพื่อที่จะจัดซื้ออุปกรณ์การเรียนต่างๆ โปรตีนเกษตร ยารักษาโรคและอื่นๆ
โดยบางส่วนได้จัดส่งขึ้นไปที่อมก๋อยแล้วเพื่อให้ครูต้อมนำไปกระจายตามโรงเรียนต่างๆที่อยู่ในเขตพื้นที่อำเภออมก๋อย

ตัวอย่างที่พวกเราชาวค่ายอาสาทำกันค่ะ

กิจกรรมเปิดหมวกเพื่อระดมทุนที่สวนจตุจักรค่ะ

อีกภาพค่ะ
บางคนอาจจะสงสัยว่าทำไมต้องไปอมก๋อย ไปพื้นที่อื่นไม่ได้หรอ ?
>> เราขอตอบเลยค่ะว่าได้ ยังมีอีกหลายพื้นที่ยังต้องการความช่วยเหลือ แต่เราฝังใจตั่งแต่เด็กๆแล้วว่าอยากไปเป็นครูอาสาที่อมก๋อย เราหลงรักเชียงใหม่ เราอยากทำอะไรสักอย่างที่นี่ ค่ายอาสาค่ายแรกของเรา เราเลยอยากไปที่อมก๋อยค่ะ เพราะเราเชื่อว่าอมก๋อยยังต้องการความช่วยเหลือจากพวกเราอีกเยอะ ถึงแม้หลายๆค่ายอาสากิจกรรมอาสาจะไปอมก๋อยกัน แต่จากการที่เราได้ไปสัมผัสด้วยตัวเราเอง

อมก๋อยยังต้องการความช่วยเหลืออีกเยอะ อมก๋อยเป็นเพียงแค่ชื่ออำเภอเท่านั้น ถ้ามองลึกไปในรายละเอียด อำเภอยังประกอบด้วยตำบล ตำบลยังต้องประกอบด้วยหมู่บ้าน หรือง่ายๆว่าอมก๋อยเป็นต้นไม้ต้นหนึ่งที่อยู่ห่างไกล ต้นไม้ต้นนี้ยังมีกิ่งก้านสาขาเต็มไปหมด เวลาที่ไปจัดกิจกรรม เราสามารถจัดได้แค่บางพื้นที่เท่านั้นไม่สามารถครอบคลุมได้ทั้งหมด อย่างบ้านห้วยแห้งที่พวกเราไป เรียกว่าเป็นหมู่บ้านที่ไกลมากๆหมู่บ้านหนึ่งเลยค่ะ ยังไม่ค่อยมีคนเข้าไปพัฒนา ชาวบ้านในหมู่บ้านบางคนยังไม่เคยลงมาตัวเภออมก๋อยเลยด้วยซ้ำ *อำเภออมก๋อยมีขนาดพื้นที่ใหญ่กว่ากรุงเทพทั้งจังหวัดอีก

และทำไมพวกเราถึงยังทำกิจกรรมเพื่อเด็กดอยกันต่อ เป็นคำถามที่โดนถามเยอะมาก ทำไปได้อะไร ได้เงินไหม?
>> ที่พวกเราทำกัน พวกเราได้เงินค่ะ แต่เงินที่พวกเราได้เป็นเงินสำหรับน้องๆเด็กดอยทุกบาททุกสตางค์ ค่ารถค่าเดินทางค่าอาหารของพวกเรา พวกเราจ่ายกันเองทุกบาท เรามีความสุขที่ได้ทำกัน ความสุขของการเป็นผู้ให้ เราอยากจะทำอะไรสักอย่างที่ส่งผลระยะยาวได้ เราไม่อยากให้ค่ายเป็นเพียงกิจกรรมที่เกิดมาแล้วจบไปเท่านั้น แต่พวกเราเองก็ยังเป็นเพียงนิสิต/นักศึกษา พนักงานออฟฟิศทั่วไปเท่านั้น ที่เราเขียนกระทู้ก็เพื่อแชร์ประสบการณ์  เพื่อจะเป็นแรงบันดาลใจให้ใครสักคน ❤

ถ้าใครมีค่ายหรือมีกิจกรรมอาสาชวนเราได้เลยนะคะ ถ้าเราสามารถลางานได้เราจะไปด้วย ❤    

No comments:

Post a Comment